Pages

Saturday, August 29, 2020

คิดอย่าง "คิมโบ" : เส้นทางนักสู้ข้างถนนที่เข้าสู่มวยกรงอาชีพด้วยการ "ไม่สนโลก" - Sanook

apapikirnya.blogspot.com

ว่ากันว่าสถานการณ์รอบตัวจะบีบให้เราทำในสิ่งที่ที่เราทำตามไปโดยไม่รู้ตัวและไม่คิดหาเหตุผล เพราะเพียงว่า "คนอื่นเขาก็ทำกัน"

อย่างไรก็ตามรอยเท้าที่ทุกคนจดจำคือ "รอยเท้าแรก" เสมอ ดังนั้นการสวนกระแสและสร้างความแตกต่าง มักจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดตำนานขึ้นมาได้

นี่คือเรื่องราวของ คิมโบ สไลซ์ อดีตคนไร้บ้าน, การ์ดเฝ้าผับ, นักเต้นเปลื้องผ้า และนักชกกินเดิมพันข้างถนน ที่บังเอิญดังจากคลิปการต่อสู้ในยูทูบจนได้เข้าไปเป็นนักสู้ MMA ในสมาคมอันดับ 1 ของโลกอย่าง UFC

การปรับตัวจากมวยบ้านๆ ไม่มีเชิง สู่เวทีมวยกรงระดับโลกของ คิมโบ เป็นเช่นไร ทำไมเขาจึงโด่งดังแม้ไร้รางวัลแชมป์โลก.. ติดตามแนวคิดของเขาได้ที่นี่

เมื่อสถานการณ์บีบให้สู้

คิมโบ สไลซ์ หรือชื่อจริง เควิน เฟอร์กูสัน ถูกจดจำในภาพของนักมวยร่างยักษ์หน้าตาสุดโหด และมีลีลาการต่อสู้ MMA ที่หนักหน่วงเร้าใจราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อสู้และบดขยี้ทุกอย่าง ... ทว่าความจริงนั้นตรงกันข้าม

1

ไม่แปลกที่คนจะมองเขาแบบนั้นมาโดยตลอด เด็กชายเชื้อสายบาฮามาสอเมริกัน มีปัญหาเรื่องขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยใช้ร่างกายที่เหนือกว่าไล่รังแกใคร เพราะกลับกันเขาเป็นพวกยักษ์ใหญ่ใจดีมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น โลกก็ไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน แม้ คิมโบ ไม่อยากจะยุ่งกับใคร แต่ภาพของการเป็นคนตัวใหญ่ใจไม่สู้ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาโดนรังแกเสียเอง

ถึงอย่างนั้นคิมโบก็ผ่านวัยเด็กประถมมาแบบไม่เคยทำร้ายใคร เขายอมโดนแกล้งด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อน จึงไม่ตอบโต้กลับ 

โรสแมรี คลาร์ก คุณแม่ของ คิมโบ เล่าว่า เธอภูมิใจกับลูกของเธอมาก เควิน (ชื่อจริงของคิมโบ) เป็นเด็กที่สดใสร่าเริง มองข้ามปัญหาทุกอย่าง และพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างไม่หวั่นไหว ส่วนเรื่องการไม่ตอบโต้นั้น คิมโบ มักจะบอกกับแม่ว่าเขาไม่อยากทำร้ายคนอื่น และไม่อยากถูกมองเป็นคนโง่ที่ใช้แต่กำลัง

2

"เขาเป็นลูกชายสุดที่รักของฉันเอง พ่อแม่ทุกคนมักจะบรรยายถึงลูกตัวเองในแง่มุมของความยอดเยี่ยม สำหรับ เควิน นั้นฉันกล้าพูดได้เลยว่าเขายอดเยี่ยมจริงๆ เขาเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ เขาไม่ชอบทำอะไรโง่ๆ ใส่คนอื่น เขาเล่าให้ฉันเสมอว่าทุกครั้งที่โดนแกล้งเขามีความรู้สึกโกรธไม่ต่างกับคนอื่น แต่เขาพยายามจะอดทนมันให้ถึงที่สุด" คลาร์ก ผู้เป็นแม่กล่าว

แม้จะพยายามหลบหลีกทุกอย่าง ไม่รังแกใคร แต่ก็ยังไม่วายมีคนที่จ้องจะบูลลี่เขาต่างๆ นานา จุดระเบิดซึ่งเกิดเป็นจุดเปลี่ยนของเขาเกิดขึ้นเมื่อตอนเขาอายุ 13 ปี คิมโบ มีเพื่อนสนิทและเพื่อนสนิทของเขาโดนรังแกแบบไม่จบไม่สิ้น ชนิดที่ว่าห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟังและยังถูกแกล้งหนักกว่าเดิม ดังนั้นนี่คือขีดสุดที่เขาจะทนได้ เขาตัดสินใจเล่นงานคนที่แกล้งเพื่อนของเขาคืน และนั่นคือครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเอง เขาเล่นงานเด็กคนนั้นลงไปกอง และนำมาซึ่งชีวิตมัธยมอันแสบสงบที่ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขาและเพื่อนสนิทอีกเลย

สู้ในแบบคิมโบ 

การต่อสู้ครั้งแรกนำมาสู่การรับรู้พลังในตัวเอง คิมโบ รับรู้ว่าเขาแข็งแกร่งและยากที่จะโดนใครคว่ำได้ง่ายๆ แต่ปัญหาคือเขาก็ยังไม่ชอบการชกต่อยกับใครอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงประยุกต์เปลี่ยนสายหันไปเอาดีทางด้านการเป็นนักอเมริกันฟุตบอลแทน และทำได้ดีในช่วงไฮสคูลจนได้ทุนเรียนมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดปัญหาบางประการ (ไม่มีการระบุ) ว่า คิมโบ เข้าเรียนได้ 1 ปี ก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย และปิดตำนานความฝันการเป็นนักอเมริกันฟุตบอลอย่างรวดเร็ว

3

เหตุผลโดยรวมน่าจะมาจากเรื่องของเงินๆ ทองๆ เป็นหลัก เพราะมีการเปิดเผยว่าหลังจากออกจากมหาวิทยาลัย คิมโบ ได้ใช้เวลาไปทำงานเป็นคนเฝ้าประตู (Door Man) และเป็นนักระบำเปลื้องผ้า เพื่อหารายได้เสริม ก่อนที่สุดท้ายจะมีเพื่อนสมัยมัธยมพบกับเขาและชวนให้ คิมโบ มาทำงานเป็นคนขับรถลิมูซีนประจำบริษัท

ทุกอย่างดูจะกลับเข้าสู้โหมดคนธรรมดาเต็มรูปแบบ แต่สุดท้ายคิมโบ ก็ไม่อาจหนีพลังของตัวเองพ้น ความแข็งแกร่งที่มี บวกกับเงินในกระเป๋าที่ร่อยหรอลงทุกวันทำให้เขาเลือกเส้นทาง "กินเดิมพัน" จากการเป็นนักชกข้างถนนแทน 

แม้จะดูเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง แต่สำหรับ คิมโบ นั้นการแปรสภาพมาเป็นนักมวยข้างถนนเปลี่ยนอะไรๆ ในตัวของเขาเยอะมาก เพราะในต้นยุค 2000's นั้น อินเตอร์เน็ต เริ่มมีใช้อย่างแพร่หลาย และการต่อยกันของเหล่าคนยักษ์ที่ใช้เวทีเป็นสนามหญ้าหลังบ้านได้ถูกบันทึกวีดีโอไว้และอัปโหลดลงบนยูทูบ หลังจากนั้นทุกคนที่ได้เห็นสไตล์การสู้ของคิมโบที่ชกหมัดเปล่า จ้วงเข้าหน้า 1 ทีต้องมีเลือดแตก ก็ต้องถามว่าบุรุษร่างยักษ์ผู้นี้คือใครกันแน่  

คลิปที่ดังที่สุดของ คิมโบ คือการชกกับชายร่างใหญ่อีกคนที่ชื่อว่า Big D ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว คิมโบ เป็นฝ่ายน็อคด้วยการโยกหลบและชกหมัดซ้ายเข้าหน้าทีเดียวจน Big D ตาปิดไปหนึ่งข้างและมีแผลแตกเลือดสาด ซึ่งหลังจากคลิปนั้นโด่งดังออกไป ผู้คนก็รอดูการชกของคิมโบในสตรีทไฟต์อย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว  

"ต้องเข้าใจก่อนนะ ผมเริ่มชกข้างถนนเพราะต้องการแค่รายได้เพิ่มเติมเข้ามาจุนเจือเล็กๆ น้อยๆ ผมไม่คิดนะว่าตัวเองจะเป็นเรื่องใหญ่โตและได้เป็นนักชกในกระแสหลักอะไรแบบนั้น ผมจำได้ว่าตอนที่ชกกันที่หลังบ้าน ไมค์ (คนที่บันทึกคลิป) แค่ยกกล้องขึ้นมา และหลังจากนั้นผมก็คิดว่าผมต้องตอบโต้ให้คนดูได้เห็น ผมจะชกยังไง จะหลบหลีกยังไง จากนั้นผมก็เอาชนะต่อไป และต่อไปเรื่อยๆ"   

สิ่งเหล่านี้ทำให้ชื่อเสียงของ คิมโบ โด่งดังขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว จนชนิดที่ว่าแมวมองของศึก MMA หลายสมาคมพบว่าเขามีพรสวรรค์และที่สำคัญคือขายได้ ดังนั้นการจะให้ชกข้างถนนแบบไม่มีใบอนุญาตแบบนี้นับเป็นการเสียของอย่างยิ่ง หลังจากนั้นในปี 2007 คิมโบ จึงได้เซ็นสัญญาและเป็นนักชกมวยกรงอย่างเป็นทางการในแบบที่เขาไม่ได้ตั้งตัว

"ทันทีที่ผมเห็นวีดีโอนั้น ผมรู้สึกได้เห็นนักชกที่มีพรสวรรค์ที่รอการเจียระไน (Raw Talent)" ชาร์ลส์ แม็คคาร์ธี่ ผู้สื่อข่าวจาก Cage Jungie กล่าวถึงความรู้สึกที่เขาได้เห็นการต่อสู้ของ คิมโบ ในวีดีโอ

ดังแล้วต้องดังอีก

คิมโบ ไม่เคยปล่อยโอกาสให้เสียเปล่้า เขาให้สัมภาษณ์กับ Cage Jungie ต่อไปว่า แม้เขาจะเหมือนสามล้อถูกหวยที่เปลี่ยนจากนักระบำเปลื้องผ้า, คนขับรถ, คนเปิดประตู และ การ์ดในไนท์คลับ ให้กลายเป็นนักมวยที่มีโอกาสชกอาชีพในสมาคมอย่าง EliteXC, UFC และ Bellator ภายในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน แต่ คิมโบ วางตัวให้เหมือนกับสามล้อถูกหวยที่มีการวางแผน เขารู้ว่าเมื่อมาอยู่ตรงนี้ เขาจะได้เจอกับคนที่เก่งจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มจิ๊กโก๋แบบที่เขาเคยเจออีกแล้ว ดังนั้นนี่คือโอกาสที่เขาจะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้ "เมื่อสป็อตไลท์ส่องที่คุณ คุณต้องแสดงตัวตนของคุณออกมาให้เต็มที่" นั่นคือสิ่งที่เขาทำ

5

"ผมดังจากอินเตอร์เน็ตก็จริง แต่ผมพยายามไม่สนใจมันมากนัก ผมพยายามไม่แคร์สิ่งที่คนพูดถึง ตอนนั้นมีหลายคนปรามาสบอกว่าผมเสร็จแน่ถ้ามาเจอกับพวกนักสู้ของจริง ซึ่งว่ากันตรงๆ ผมปล่อยผ่าน เพราะการจะด่าคนอื่นเนี่ย คนด่ามันมีเวลาด่าคุณทั้งวันนั่นแหละ ผมบอกตัวเองไว้ว่าสไตล์ผมเป็นแบบไหน ผมเกิดจากมวยข้างถนน และผมนี่แหละคือนักสู้ข้างถนนโดยธรรมชาติ" คิมโบ กล่าว 

สิ่งที่ คิมโบ พยายามจะสื่อคือเขาไม่ทิ้งสไตล์ที่เอามันไว้ก่อน เอาเชิงไว้ที่หลัง เพราะเขาไม่ได้เก่งเรื่องเทคนิคอะไรมากมายนัก กว่าจะได้เข้าวงการก็อายุเข้าเลขสาม ซึ่งถ้าวัดกับนักสู้ MMA อื่นๆ ที่ฝึกฝนแบบตามหลักมวยกรงก็มีโอกาสน้อยที่ คิมโบ จะเอาชนะได้ ดังนั้นเขาเลือกที่ทำในสิ่งที่เป็นตัวเองให้มากที่สุด โดยแบ่งเป็น 3 สิ่งที่ต้องทำ

ข้อแรกเขาจะฝึกร่างกายตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพราะร่างกายเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของนักสู้ทุกแขนง ข้อสองเขาจะมองรางวัลและแชมป์มาเป็นอันดับสอง รองจากการรักษาสไตล์มวยเดินหน้าฆ่ามันเอ็นเตอร์เทนคนดูให้ได้มากที่สุด และข้อสุดท้ายคือสร้างคาแร็คเตอร์ให้ฉูดฉาดจนสื่ออดนำเรื่องของเขาไปเสนอต่อสาธารณะไม่ได้.. 3 สิ่งนี้คือองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่า คิมโบ วางแผนและประมาณตัวเองได้อย่างเฉียบขาด อันไหนเติมให้ดีขึ้นได้เขาพร้อมจะทำมัน สิ่งใดที่ยากจะพัฒนาเขาก็แค่มองข้ามไปมันไปและไปใช้เวลาพัฒนาจุดอื่นแทนแค่นั้นเอง

6

ดังนั้นคุณไม่ต้องสงสัยว่าทำไมตลอดอาชีพนักชกแบบถูกกฎหมายของ คิมโบ เขาจึงไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยแม้แต่รายการเดียว เพราะเขารู้ดีว่า "มันยากเกินไป" เขาเลือกขายจุดที่ตัวเองมีและกลายเป็นนักมวยกรงที่มีแฟนๆ ติดตามมากที่สุดจนได้รับฉายาว่า "King of Rating" โดยเคยทำสถิติยอดคนดูแบบ PPV (Pay-Per-View) มากที่สุดของสมาคม Bellator ในศึก Bellator 149 ที่เขาชกกับ Dada 5000 (ชื่อจริง ดาฟีร์ แฮร์ริส) โดยมีผู้ชมมากถึง 2.5 ล้านคน

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทั้ง คิมโบ และ Dada 5000 นั้นจัดว่าเป็นขวัญใจมวยข้างถนนในยูทูบมานานหลายปี ดังนั้นทุกคนจึงคาดหวังจะได้เห็นการสู้ที่โหดเลือดสาดเหมือนกับตอนชกกันแบบผิดกฎหมาย ทว่าที่สุดเเล้วเเมตช์นี้กลับดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย และจบเกมด้วยการปล่อยหมัดซ้ายของ คิมโบ ใส่หน้า Dada 5000 และจากนั้น Dada ก็เดินเซล้มพับโดนประกาศให้แพ้น็อคไปในทันที (ทว่าผลการตัดสินถูกเปลี่ยนเป็น ไม่มีผลตัดสิน ในเวลาต่อมา เนื่องจาก คิมโบ ตรวจสารกระตุ้นไม่ผ่าน)

แฟนมวยกรงหลากหลายสาขาบนโลกอินเตอร์เน็ตที่รอดูไฟต์ตำนานมวยใต้ดินชกกันถึงกับหัวร้อนกันเป็นแถบ เมื่อพวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น อีกทั้งยังเจอกับแมตช์ที่น่าเบื่อเกินกว่าที่คาดไปเยอะ จนถึงขั้นมีการลงคะแนนให้ไฟต์ดังกล่าวเป็น 1 ในไฟต์ที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ MMA เลยทีเดียว

7

อย่างไรก็ตามหากคุณย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่ คิมโบ เคยบอก "ผมไม่สนใจเสียงคนในอินเตอร์เน็ต" คุณก็จะพบว่าที่สุดเเล้วเขากวาดเงินไปไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากไฟต์นั้น แถมฝ่ายจัดก็ยังได้ยอด PPV ไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ... ดังนั้นต่อให้โดนด่าแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาได้มาเหมือนเช่นเคย 

จุดหนึ่งที่ต้องชมคือการวางแผนของเขาเวิร์กมาก แม้จะไม่ได้แชมป์รายการใหญ่ แต่ชื่อเสียงของ คิมโบ สไลซ์ โด่งดังขึ้นมาในกลุ่มคนดูกีฬาต่อสู้ นอกจากนี้เขายังขยายคอนเน็คชั่นด้วยการรับงานแสดงเพิ่ม และที่สำคัญคือการสร้างกระแสให้ตัวเองด้วยการรับบทจอมโหดตัวปากดี ที่มักจะท้าทายคนดังๆ เพื่อให้เป็นข่าวเสมอ อาทิครั้งหนึ่งเขาเคยท้า ไมค์ ไทสัน ชกกันแบบข้างถนนมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่สุดท้าย คิมโบ ก็ได้ซีนบนหน้าข่าวกีฬาไปเต็มๆ 

นอกจากนี้เขายังเปลี่ยนภาพลักษณ์ยักษ์ใหญ่ใจดีให้เป็นคนที่มีความกวนโอ๊ยถึงขีดสุด การให้สัมภาษณ์ของเขามักจะหยอดมุกให้คนได้ขำและสร้างภาพจำเขาไว้แบบนั้น ซึ่้งเมื่อมีทั้งความโหด, ความปากดี และความฮาในตัวคนเดียวแล้ว ไม่แปลกเลยที่เวลาเขาท้าทายหรือคิดจะโจมตีนักสู้คนไหนด้วยคำพูด ก็มักจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของสื่อและแฟนๆ เสมอ

จากไปอย่างตำนาน 

คิมโบ กลายเป็นขวัญใจคนชอบกีฬาต่อสู้แล้วก็จริง แต่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มีเบื้องหลังที่ต้องยอมรับว่ามันคือส่วนสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริง

เขาเติบโตในรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่มีลูกเยอะและยากจน ดังนั้นจึงเป็นอย่างที่เขากล่าวไว้ ทุกอย่างที่ทำแล้วได้เงินเพิ่ม คิมโบ เอาหมด เขาอยากซื้อบ้านให้แม่กับน้องๆ ได้มีที่อยู่ แทนห้องพักรูหนูที่นอนอัดกันมาหลายปี 

8

"เขาบอกกับเราเลยว่า เดี๋ยวผมจะพาทุกคนออกไปจากที่นี่เอง และสุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ ในวันที่เราย้ายบ้านเขาพูดกับทุกคนว่า 'เฮ้ เป็นไง ผมบอกแล้วว่าผมจะพาทุกคนออกมาให้ได้ ผมไม่ได้โกหก' จริงๆ ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ และสุดท้ายพวกเราทุกคนก็ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยกัน (บ้านหลังใหม่)" โรสแมรี คลาร์ก คุณแม่ของ คิมโบ กล่าว 

อย่างไรก็ตามชีวิตไม่เคยง่าย เพราะแม้ คิมโบ จะนำครอบครัว ลูก และภรรยา มาเจอชีวิตที่สุขสบายตามที่เขาหวังจะทำให้ได้ ทว่าสุดท้ายเขากลับไม่ได้อยู่เสพความสำเร็จนั้นร่วมกับคนที่เขารัก

ในปี 2016 คิมโบ มีปัญหาเรื่องสุขภาพอย่างหนัก ว่ากันว่าเขาฝืนร่างกายมานาน และต้องใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงมานานหลายปี จนสุดท้ายหลังจากขึ้นชกกับ Dada 5000 ซึ่งถือว่าเป็นไฟต์สุดท้ายในชีวิตของเขาไม่กี่เดือน คิมโบ ก็ไม่อาจฝืนได้อีก เขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2016 และปิดตำนานคนยักษ์จอมโวแบบช็อควงการมวยกรง เพราะอันที่จริง คิมโบ มีโปรแกรมฟาดปากกับ เจมส์ ธอมป์สัน ในเดือนต่อมา ทว่าแมตช์นั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น

9

การเสียชีวิตของ คิมโบ ทำให้เข้าใจเหตุผลว่า ทำไมไฟต์ของเขาและ Dada จึงกลายเป็นศึกน่าเบื่อ เพราะตัวของ คิมโบ เองมีปัญหาเรื่องหัวใจและตับโตแบบที่ไม่ยอมบอกใคร ขณะที่ Dada เองก็สภาพร่างกายย่ำแย่ มีการเปิดเผยว่าก่อนจะล้มลงหมัดสุดท้ายนั้น หากทั้งคู่ยังฝืนชกกันต่อไป อาจจะต้องมีใครคนหนึ่งเสียชีวิตจากการหัวใจวายตายคาเวทีเลยทีเดียว 

อองตัวแน็ตต์ ภรรยาของ คิมโบ ยอมรับว่า ณ นาทีแรกที่สามีของเธอจากไป เธอรู้สึกโกรธที่ คิมโบ ฝืนตัวเองด้วยการพยายามสู้ต่อไปทั้งๆ ที่ป่วยมาหลายปี จนสุดท้ายการฝืนก็นำมาสู่สถานการณ์ที่แก้ไขไม่ได้ 

แต่สิ่งที่จริงที่สุดคือ คิมโบ สู้ในแบบของเขามายาวนานเกินจะเลิกได้ ความผูกพันกับมวยกรงหรือการต่อสู้ข้างถนน เปลี่ยนให้ เควิน เฟอร์กูสัน เป็น คิมโบ สไลซ์ จอมเดือดแบบเต็มรูปแบบ และวันเดียวที่เขาจะหยุดนึกการสู้ได้ ก็คือวันที่เขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปเท่านั้น

"ในบางจุดฉันโกรธเขาที่ต้องมาลงเอยแบบนี้ แต่สุดท้ายเมื่อถามตัวเองแล้ว ฉันก็รู้สึกได้ว่าไม่จำเป็นจะต้องคิดแบบนั้น เพราะสิ่งที่เขาเป็นอยู่คือชีวิตของเขา นี่คือ คิมโบ สไลซ์" อองตัวแน็ตต์ กล่าว

ทุกวันนี้สิ่งที่ คิมโบ สไลซ์ สร้างไว้ยังคงเป็นตำนานและถูกส่งต่อเรื่องราวของคนที่สู้ชีวิต และสู้ด้วยการวางแผน โดยสายเลือดนักสู้แห่งตระกูล สไลซ์ ยังคงสืบเชื้อสายต่อไป เพราะปัจจุบันลูกชายของ คิมโบ อย่าง เควิน เฟอร์กูสัน จูเนียร์ หรือ เบบี้ สไลซ์ ตอนนี้ก็เป็นนักสู้ MMA ของสมาคม Bellator อยู่

10

ลีลาการชก การวางแผนใช้จุดแข็งที่ตัวเองมีเอามาปรับเป็นสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร แม้ไม่สามารถเป็นแชมป์โลกได้ แต่ คิมโบ สไลซ์ ได้สร้างความประทับใจมากมายด้วยวิถีแห่งนักสู้ข้างถนน หาจุดแข็งของตัวเองให้เจอ ขัดเกลามันให้แกร่งขึ้นไปอีก ใช้มันซะ อย่ามัวเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณ และหลังจากนั้นโลกจะจดจำคุณเอง.. นี่คือสิ่งที่เรื่องราวของเขาฝากไว้ถึงทุกๆ คนที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ 

Let's block ads! (Why?)



"คิด" - Google News
August 29, 2020 at 05:36PM
https://ift.tt/3lyO8E0

คิดอย่าง "คิมโบ" : เส้นทางนักสู้ข้างถนนที่เข้าสู่มวยกรงอาชีพด้วยการ "ไม่สนโลก" - Sanook
"คิด" - Google News
https://ift.tt/2zKBRJC
Home To Blog

No comments:

Post a Comment